"ประวัติเกวียนไทย"
เกวียน เป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งที่มีล้อเลื่อน อายุเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน มี 2 ล้อ เคลื่อนที่ไปโดยใช้วัวหรือควายเทียมลากไป โดยปกติใช้ 2 ตัว ตามตำนานกล่าวว่า มนุษย์รู้จักใช้ล้อมาก่อน ยุคประวัติศาสตร์ ส่วนเกวียนที่เทียมสัตว์และรถศึกมีปรากฏแน่ชัดในสมัยกรีกและโรมัน
ในสมัยสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นยุคต้นของไทย มีวรรณคดี พงศาวดารหลายเรื่องที่กล่าวถึงเกวียน เช่นใน เรื่องพระร่วงส่งส่วยน้ำ คนไทยได้ใช้เกวียนบรรทุกส่วยไปบรรณาการขอมผู้มีอำนาจ
ในสมัยหลัง ๆ สมุหเทศาภิบาลใช้ "เกวียนด่าน" เดินทางจากอุบลราชธานีมายังกรุงเทพฯ โดยนั่ง เกวียนคันหนึ่งมาแล้วเปลี่ยนนั่งคันใหม่ต่อกันเป็นทอด ๆ
ในสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ใช้ในการไปตรวจราชการท้องที่ของข้าราชการ ได้ใช้ส่วนกลางของเกวียน เป็นที่นอน ใช้ส่วนหน้าเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ใช้ใต้ถุนเกวียนเป็นที่หุงหาอาหาร
เกวียนแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ เกวียนเทียมวัวและเทียมควาย เกวียนเทียมวัวจะเตี้ยกว่า ทางภาคใต้จะนิยม ใช้ควายเทียมเกวียน ส่วนภาคเหนือนิยมใช้วัวเทียม
ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้ตรากฎข้อบังคับเพื่อใช้ควบคุมการใช้เกวียนนี้ขึ้น จึงนับว่าเป็นกฎหมายฉบับ แรกว่าด้วยการใช้เกวียน แต่มีผลบังคับเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมารัชกาลที่ 6 ได้ทรงดำริว่าขนาดของล้อ เกวียนกว้างเท่ากันทั่วราชอาณาจักร
พ.ศ.2460 กำหนดให้ล้อเลื่อนทุกชนิดในเขตพระนครต้องจดทะเบียนรับใบอนุญาตขับขี่ทุก ๆ ปี ครั้น หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้มีประกาศพระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ. 2478 กำหนดให้เก็บค่าจดทะเบียนเกวียน เล่มละ 1 บาท นับตั้งแต่เริ่มใช้จนชั่วอายุเกวียน และผ่อนผันให้ผู้ ขับขี่เกวียนไม่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่และนับตั้งแต่นั้นมาก็มิได้มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเกวียนอีกเลย
ล้อ(เกวียน) น่าจะอยู่กับภูมิภาคนี้ อย่างน้อยพันก่วาปีในกรุงราชคฤห์ มีร่องรอย ล้อเกวียน บาดลึกลง ในเนื้อหิน
พุทธศาสนา ที่เข้ามา น่าจะเอาความรู้ต่างๆมาด้วยสภาพ ภูมิประเทศ ล้านนา เป็น ที่ราบในหุบ เขา
เกวียน แต่ละ แห่ง พัฒนาต่างกัน เชียงราย จะเบา เล็กกว่าและเป็นเทคนิค ของช่างเกวียน แต่ละ สกุลด้วย
.....ครั้งที่ดินแดนล้านนายังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นาๆพันธุ์ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล อาชีพ ของชาวล้านนาในครั้งกระนั้นคืออาชีพเกษตรกรรม การขนผลผลิตจากเรือกสวนไร่นามาเก็บไว้ยังบ้านนั้นชาวล้านนาสมัยกึ่งศตวรรษ ใช้ยานพาหนะชนิดหนึ่งเรียกว่า " ล้องัว " ล้องัว ของชาวล้านนามีลักณะเตี้ย กว้าง แข็งแรง ไม่บอบบาง อ่อนช้อยเหมือนเกวียนแบบภาคกลาง และอีสาน ส่วนประกอบของ ล้องัวมีดังนี้
" แว่นล้อ" (กงเกวียน) มี " ดุมล้อ" ซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็ง คือไม้ประดู่กลึงให้สวยงาม เป็นจุดศูนย์กลางแผ่ด้วย ซี่ล้อ (กำเกวียน) ทำจากไม้สักจำนวน 16 ซี่ แว่นล้อ นี้จะมี " ขวักล้อ" (ฝักมะขาม) ซึ่งทำจากไม้สักเป็นรูปโค้ง เรียงต่อกันเป็นวงกลม จำนวน 8 ท่อน ยึดติดกันด้วยเดือยแล้วรัดให้แน่นด้วยเหล็กแผ่นบางรูปวงกลมขนาดพอดีกับแว่น แว่นล้อ หนาประมาณ 1 ส่วน 2 เซนติเมตร แว่นล้อสองวงยึดติดกันด้วย " แก๋นล้อ " (เพลา) ซึ่งเป็นเหล็กยาว ตัน เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เศษ 1 ส่วน 2 นิ้วมี " แซ่ " (สลัก,ลิ่ม)ฝังติดสองหัวของ แก๋นล้อ ที่โผล่มาจาก ดุมล้อ มีคำพังเพยแบบล้านนาบทหนึ่งกล่าวเปรียบเปรยไว้อย่างน่าฟังเกียวกับ แก๋นล้อ ว่า " จะซื้อล้อหื้อก้มผ่อแก๋น จะเลือกผู้แทนหื้อแหงนผ่อหน้า "
แก๋นล้อ นี้จะสอดเข้าไปใต้ " กะหลก " (กะโปก) ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งคือ ไม้ชิงชัน เซาะร่องยาวเพื่อเก็บ แก๋นล้อ ให้มั่นคง แก๋นล้อ กับ กะหลก จะยึดติดกันอย่างมั่นคงด้วยเหล็ก สกรู น๊อต ที่เจาะผ่าน แก๋นล้อ ไปทะลุ กะหลก
" กันจั๊ก " (ทูบ) ทำจากไม้ชิงชัน มีลักษณะคล้ายตัว V วางพาด กะหลก และมี " กุ๊มจ๊าง " แปลว่าแท่นช้าง ซึ่งทำจากไม้ชิงชันแช่นกัน มีความยาวกว่า กะหลก ข้างละ 1 ฟุต ทับ กันจั๊ก อีกชั้นหนึ่งระหว่าง กะหลก กับ กุ๊มจ๊าง ก็จะมีเหล็ก สกรู น๊อต ยึดติดกันให้มั่นคงเช่นกัน ส่วนหัวของ กันจั๊ก จะมี " กันคอ " (แอก) วางพาดขวางอยู่ยึดติดกันด้วยเหล็ก สกรู น๊อต มัดด้วยเชือกที่ฟั่นจากหนังวัว ควาย อีกรอบหนึ่ง กันคอ จะเจาะรูสองรูที่ปลายไม้ทั้งสอง เพื่อใช้ไม้ " หลักคอ " (ลูกแอก)เสียบส่วนคอของวัว จะสอดอยู่ระหว่าง หลักคอ โดยมี " สายอก " (ทามรัดคอ)ซึ่งทำจากเชือกถักคล้อง หลักคอ อันหนึ่ง อ้อมผ่านใต้คอวัว แล้วมาคล้อง หลักคอ อีกอันหนึ่ง เป็นการตรึงคอวัวให้อยู่กับ กันคอ อย่างมั่นคง ช่วงก่อนจะถึง " เฮือนล้อ " (โครงเกวียน) จะมีกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมคางหมู เรียกว่า " ตู้ล้อ " ติดบานพับเปิด ปิดได้ ประโยชน์ใช้สอยคือเป็นที่เก็บข้าวของจิปาถะในการเดินทางเช่น ห่อข้าว หมาก เมี่ยง บุหรี่ เป็นต้น
" เฮือนล้อ " (โครงเกวียน) คือ โครงไม้สี่เหลี่ยมมี " ไม้ซี่เฮือนล้อ "(ไม้เสากง) ติดห่างๆ กัน เพื่อให้โปร่ง จะมีส่วนที่ยาวกว่าแล้วปาดปลายเป็นรูปใบดาบที่เรียกว่า " เดี่ยวซี่ " เฮือนล้อ จะเป็นส่วนที่ได้รับการตกแต่งให้สวยงาม มี " ตาดหน้า" (ไม้กั้นด้านหน้า) ทำจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประดับลวดลายให้ลึกลงไป ด้วยสิ่วเป็นลายเส้น เป็นศิลปะแบบพื้นบ้านล้านนา
ลวดลายที่นิยมทำกันมีหลายแบบ เช่น ลายหม้อน้ำมีไม้เลื้อยตามคติพุทธศานาดั้งเดิม เรียกว่า " ปูรณฆฎ หรือ ปูรณกลศ " ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์ชีวิตและการสร้างสรรค์ลวดลายนาคประกอบ อกไม้ โดยทำเป็นรูปนาค 2 ตัวเลื้อยลงด้านล่างหันหน้าเข้าหากันนิยมติดประจกเงาวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ติดอยู่ 2 วง ด้านหลังของ เฮือนล้อ จะมี " ตาดหลัง " หรือ ตาดจ๊าง (ไม้กั้นด้านหลัง) ตรงกลางทำเป็นแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแกะสลักรูปนูนต่ำรูปช้างซึ่งยุคแรกจะทำเป็นรูปช้างด้านข้างหนึ่งตัวกำลังเดินหันหน้าเข้าหากัน ใช้งวงชูพานคล้ายรัฐธรรมนูญ
ระหว่างส่วนปลายของ กันจั๊ก และ ตาดหลัง , ตาดจ๊าง จะมีแผ่นไม้ที่สวยงามอีกแผ่นหนึ่งคั่นอยู่ เรียกว่า " โก่งกิ้ว " เป็นแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ส่วนล่างของ โก่งกิ้ว จะปาดเป็นรูปโค้งคล้ายสาหร่ายรวงผิ้ง ลวดลายของ โก่งกิ๊ว ใช้สิ่ว ตอกเป็นลายเส้น รูปนาคสองตัว เลื้อยหันหลังเกี่ยวหางกันมีลวดลายประกอบ เหนือหัวของนาคทั้งสองตัวจะติดกระจกเงารูปวงกลมเช่นเดียวกับ ตาดหน้า
ลวดลายทั้งหมดคือ " ตาดหน้า " ตาดหลังหรือ " ตาดจ๊าง" และ โก่งกิ๊ว ระบายด้วยสีน้ำมัน สีฉูดฉาดด้วยฝีมือช่างพื้นบ้าน ดูซื่อๆ แต่มีความงามแอบแฝงอยู่.......
...........ปัจจุบัน " ล้องัว " ได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตของชาวล้านนาไปแล้ว เพราะล้านนาวันนี้ ไม่ใช่ดินแดนเขียวขจีไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่เป็นดินแดนที่กำลังก้าวสู่เขตอุตสาหกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเร่งรีบ เน้นปริมาณ " ล้องัว" จึงถูกกว้านซื้อเข้าสู่ร้านขายของเก่าเพื่อให้เจ้าของโรงแรม ร้านอาหาร ซื้อไปประดับบริเวรสนามหญ้า หรือไม่ก็ถอดส่วนประกอบ " ล้องัว " ออกเป็นชิ้นๆ " แว่นล้อ " ถูกนำไปทำเป็นรั้วของร้านประเภทแอนทีค เพราะดูแล้วเขาว่า มันเป็นศิลป์ดี....
" แว่นล้อ" (กงเกวียน) มี " ดุมล้อ" ซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็ง คือไม้ประดู่กลึงให้สวยงาม เป็นจุดศูนย์กลางแผ่ด้วย ซี่ล้อ (กำเกวียน) ทำจากไม้สักจำนวน 16 ซี่ แว่นล้อ นี้จะมี " ขวักล้อ" (ฝักมะขาม) ซึ่งทำจากไม้สักเป็นรูปโค้ง เรียงต่อกันเป็นวงกลม จำนวน 8 ท่อน ยึดติดกันด้วยเดือยแล้วรัดให้แน่นด้วยเหล็กแผ่นบางรูปวงกลมขนาดพอดีกับแว่น แว่นล้อ หนาประมาณ 1 ส่วน 2 เซนติเมตร แว่นล้อสองวงยึดติดกันด้วย " แก๋นล้อ " (เพลา) ซึ่งเป็นเหล็กยาว ตัน เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เศษ 1 ส่วน 2 นิ้วมี " แซ่ " (สลัก,ลิ่ม)ฝังติดสองหัวของ แก๋นล้อ ที่โผล่มาจาก ดุมล้อ มีคำพังเพยแบบล้านนาบทหนึ่งกล่าวเปรียบเปรยไว้อย่างน่าฟังเกียวกับ แก๋นล้อ ว่า " จะซื้อล้อหื้อก้มผ่อแก๋น จะเลือกผู้แทนหื้อแหงนผ่อหน้า "
แก๋นล้อ นี้จะสอดเข้าไปใต้ " กะหลก " (กะโปก) ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งคือ ไม้ชิงชัน เซาะร่องยาวเพื่อเก็บ แก๋นล้อ ให้มั่นคง แก๋นล้อ กับ กะหลก จะยึดติดกันอย่างมั่นคงด้วยเหล็ก สกรู น๊อต ที่เจาะผ่าน แก๋นล้อ ไปทะลุ กะหลก
" กันจั๊ก " (ทูบ) ทำจากไม้ชิงชัน มีลักษณะคล้ายตัว V วางพาด กะหลก และมี " กุ๊มจ๊าง " แปลว่าแท่นช้าง ซึ่งทำจากไม้ชิงชันแช่นกัน มีความยาวกว่า กะหลก ข้างละ 1 ฟุต ทับ กันจั๊ก อีกชั้นหนึ่งระหว่าง กะหลก กับ กุ๊มจ๊าง ก็จะมีเหล็ก สกรู น๊อต ยึดติดกันให้มั่นคงเช่นกัน ส่วนหัวของ กันจั๊ก จะมี " กันคอ " (แอก) วางพาดขวางอยู่ยึดติดกันด้วยเหล็ก สกรู น๊อต มัดด้วยเชือกที่ฟั่นจากหนังวัว ควาย อีกรอบหนึ่ง กันคอ จะเจาะรูสองรูที่ปลายไม้ทั้งสอง เพื่อใช้ไม้ " หลักคอ " (ลูกแอก)เสียบส่วนคอของวัว จะสอดอยู่ระหว่าง หลักคอ โดยมี " สายอก " (ทามรัดคอ)ซึ่งทำจากเชือกถักคล้อง หลักคอ อันหนึ่ง อ้อมผ่านใต้คอวัว แล้วมาคล้อง หลักคอ อีกอันหนึ่ง เป็นการตรึงคอวัวให้อยู่กับ กันคอ อย่างมั่นคง ช่วงก่อนจะถึง " เฮือนล้อ " (โครงเกวียน) จะมีกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมคางหมู เรียกว่า " ตู้ล้อ " ติดบานพับเปิด ปิดได้ ประโยชน์ใช้สอยคือเป็นที่เก็บข้าวของจิปาถะในการเดินทางเช่น ห่อข้าว หมาก เมี่ยง บุหรี่ เป็นต้น
" เฮือนล้อ " (โครงเกวียน) คือ โครงไม้สี่เหลี่ยมมี " ไม้ซี่เฮือนล้อ "(ไม้เสากง) ติดห่างๆ กัน เพื่อให้โปร่ง จะมีส่วนที่ยาวกว่าแล้วปาดปลายเป็นรูปใบดาบที่เรียกว่า " เดี่ยวซี่ " เฮือนล้อ จะเป็นส่วนที่ได้รับการตกแต่งให้สวยงาม มี " ตาดหน้า" (ไม้กั้นด้านหน้า) ทำจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประดับลวดลายให้ลึกลงไป ด้วยสิ่วเป็นลายเส้น เป็นศิลปะแบบพื้นบ้านล้านนา
ลวดลายที่นิยมทำกันมีหลายแบบ เช่น ลายหม้อน้ำมีไม้เลื้อยตามคติพุทธศานาดั้งเดิม เรียกว่า " ปูรณฆฎ หรือ ปูรณกลศ " ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์ชีวิตและการสร้างสรรค์ลวดลายนาคประกอบ อกไม้ โดยทำเป็นรูปนาค 2 ตัวเลื้อยลงด้านล่างหันหน้าเข้าหากันนิยมติดประจกเงาวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ติดอยู่ 2 วง ด้านหลังของ เฮือนล้อ จะมี " ตาดหลัง " หรือ ตาดจ๊าง (ไม้กั้นด้านหลัง) ตรงกลางทำเป็นแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแกะสลักรูปนูนต่ำรูปช้างซึ่งยุคแรกจะทำเป็นรูปช้างด้านข้างหนึ่งตัวกำลังเดินหันหน้าเข้าหากัน ใช้งวงชูพานคล้ายรัฐธรรมนูญ
ระหว่างส่วนปลายของ กันจั๊ก และ ตาดหลัง , ตาดจ๊าง จะมีแผ่นไม้ที่สวยงามอีกแผ่นหนึ่งคั่นอยู่ เรียกว่า " โก่งกิ้ว " เป็นแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ส่วนล่างของ โก่งกิ้ว จะปาดเป็นรูปโค้งคล้ายสาหร่ายรวงผิ้ง ลวดลายของ โก่งกิ๊ว ใช้สิ่ว ตอกเป็นลายเส้น รูปนาคสองตัว เลื้อยหันหลังเกี่ยวหางกันมีลวดลายประกอบ เหนือหัวของนาคทั้งสองตัวจะติดกระจกเงารูปวงกลมเช่นเดียวกับ ตาดหน้า
ลวดลายทั้งหมดคือ " ตาดหน้า " ตาดหลังหรือ " ตาดจ๊าง" และ โก่งกิ๊ว ระบายด้วยสีน้ำมัน สีฉูดฉาดด้วยฝีมือช่างพื้นบ้าน ดูซื่อๆ แต่มีความงามแอบแฝงอยู่.......
...........ปัจจุบัน " ล้องัว " ได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตของชาวล้านนาไปแล้ว เพราะล้านนาวันนี้ ไม่ใช่ดินแดนเขียวขจีไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่เป็นดินแดนที่กำลังก้าวสู่เขตอุตสาหกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเร่งรีบ เน้นปริมาณ " ล้องัว" จึงถูกกว้านซื้อเข้าสู่ร้านขายของเก่าเพื่อให้เจ้าของโรงแรม ร้านอาหาร ซื้อไปประดับบริเวรสนามหญ้า หรือไม่ก็ถอดส่วนประกอบ " ล้องัว " ออกเป็นชิ้นๆ " แว่นล้อ " ถูกนำไปทำเป็นรั้วของร้านประเภทแอนทีค เพราะดูแล้วเขาว่า มันเป็นศิลป์ดี....
เกวียนเป็นพาหนะที่สำคัญที่สุดในการเดินทางและบรรทุกสิ่งของตั้งแต่สมัยโบราณ หรือแม้กระทั่งสมัยปัจจุบัน เกวียนก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทางของชาวชนบทอันเป็นท้องถิ่นช่วงการคมนาคมยังหาความสะดวกได้ยาก ทั้งนี้ เพราะเกวียนสามารถใช้บรรทุกหรือเป็นพาหนะเดินทางได้แม้แต่ในผิวถนนที่ขรุขระหรือ ถนนที่เต็มไปด้วยโคลนตม ซึ่งรถยนต์ไม่สามารถจะผ่านไปได้
วิธีการผลิต การทำเกวียนเป็นศิลปะทางช่างที่ต้องใช้ผู้ที่มีความชำนาญสูง ต้องอาศัยทักษะแห่งการฝึกฝนมาก ประวัติและวิธีการผลิต มีความเป็นมาและวิธีการอย่างใดนั้น ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่แน่นอน แต่อาศัยข้อมูลจากผู้สูงอายุและผู้มีประสบการณ์ ตลอดจนทักษะในการผลิตหลายท่าน จึงสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มากล่าวในที่นี่ได้
ลักษณะการใช้งาน เกวียนเป็นพาหนะที่มีหลักการทำงาน คือ อาศัยกำลังลากจากโคนหรือกระบือ สามารถเลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างสะดวก โดยล้อเลื่อนทั้งสองข้าง หน้าที่และอุปกรณ์ที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้
1. หอระพี ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีหน้าที่รับน้ำหนักการบรรทุกมากที่สุด ที่ปลายทั้งสองด้านเจาะรูเพื่อนำ “ไลเกวียน” หรือ “คยเกวียน” หรือ โพล่งของเกวียนต่อไป
2. ไม้โทก มี 2 อัน คือ ไม้โทกด้านซ้ายและไม้โทกด้านขวา เป็นส่วนที่ยาวที่สุด ทำด้วยไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 4-5 เมตร
3. ไม้แพด มี 2 อัน คือ ไม้แพดด้านซ้ายและไม้แพดด้านขวา เป็นส่วนที่ยาวที่สุด ทำด้วยไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 4-5 เมตร
4. ไม้ขวางทาง มี 2 อัน คือ ไม้ขวางทางด้านหน้าและไม้ขวางทางด้านหลัง ไม้ขวางทางด้านหน้าอยู่ต่อจาก “ซานเกวียน” ส่วนไม้ขวางทางด้านหลังเป็นส่วนที่อยู่หลังสุดของเกวียนเมื่อนำไม้แพดและไม้ขวางทางต่อเข้าด้วยกันจะเป็นส่วนที่ทำให้เกวียนมีรูปลักษณะ เป็นสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ส่วนหลังของผู้ขับและโคเทียม
5. ไม้หัวเต่า มี 2 อัน คือ ไม้หัวเต่าหน้าและไม้หัวเต่าหลัง เป็นส่วนที่อยู่เหนือไม้ขวางทางทั้งหน้า – หลัง ความยาวขึ้นอยู่กับระยะห่างของไม้โทกทั้งซ้าย - ขวา แต่มีขนาดยาวกว่าด้านละ 10 ซม. เป็นรูป คล้ายคมแฝกที่ปลายทั้งสองข้างกลึงเป็นรูปคล้ายดอกบ้วตูม
6. ดุม มี 2 ข้าง คือ ดุมข้างซ้าย - ขวา ความยาวประมาณ 50-70% ซม. หรือเท่ากับระยะห่างระหว่างไม้โทกกับไม้แพดทั้งซ้าย - ขวา ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ตัดจะเจาะรูจนทะลุถึงกันได้ เพื่อไว้สำหรับใส่เพลาหรือไลเกวียนหรือคยเกวียน ประมาณ 1-1”
7. ไลเกวียนหรือคยเกวียนหรือเพลาเกวียน เป็นไม้ที่กลึงจนกลมและมีผิดละเอียดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า ของรูที่เจาะดุมเล็กน้อย ไลเกวียนเป็นไม้ที่สอดผ่านดุมไปยังไม้โทกและไม้แพด ซึ่งเจาะรูกลม เท่ากับรูดุม ลึกประมาณ 1-2” ไลเกวียนมีจำนวน 2 อัน เท่ากับจำนวนดุม การประกอบทำลักษณะเดียวกันทั้งข้างซ้าย – ขวา
8. ตีนเกวียนหรือล้อเกวียนทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มี 4 กีบต่อกันเข้าเป็นรูปวงกลม มี “กำเกวียน” ซึ่งทำหน้าที่เหมือนซี่เกวียนเชื่อมต่อระหว่างตีนเกวียนกับดุมเกวียน
9. กำเกวียน ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ความยาวมากกว่าระยะทางระหว่างตีนเกวียนกับดุมเกวียนเล็กน้อย เป็นไม้รูปสี่เหลี่ยมมีจำนวนข้างละ 16 อัน รวม 32 อัน
10. ชานเกวียน เป็นพื้นไม้กระดานอยู่ส่วนแหลมของไม้โทก คืออยู่ต่อจากไม้หัวเต่าไปส่วนหลัง ความยาวประมาณ 1 เมตร
11. ไม้คั่นเกวียน มี 3 อัน ไม้คั่นหน้า, ไม้คั่นกลางและไม้คั่นหลังมีความยาวเท่ากับระยะห่างระหว่างไม้โทกทั้งซ้าย – ขวา มีหน้าที่คล้ายตงบ้าน คือรองรับน้ำหนักบรรทุกเหมือนตทอระนี
12. แอก เป็นขนาดยาวเท่ากับความยาวของไม้ขวางทาง ตรงจุดกึ่งกลางต้นบันทำเป็นรูปคล้าย “หนอกวัว” ด้านล่างเจาะรู 1-1” ไว้สำหรับใส่ไม้คำหัว
13. ไม้ค้ำหัว เป็นไม้ความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร 1-1” ส่วนล่างทำเป็นรูปตัว วาย (Y) เพื่อคาบกับ “โม๊ะ”
12. แอก เป็นขนาดยาวเท่ากับความยาวของไม้ขวางทาง ตรงจุดกึ่งกลางต้นบันทำเป็นรูปคล้าย “หนอกวัว” ด้านล่างเจาะรู 1-1” ไว้สำหรับใส่ไม้คำหัว
13. ไม้ค้ำหัว เป็นไม้ความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร 1-1” ส่วนล่างทำเป็นรูปตัว วาย (Y) เพื่อคาบกับ “โม๊ะ”
14. โม๊ะ เป็นไม้ลักษณะคล้ายส่วนบนด้านหน้ารของอานม้า ขนาดเท่ากับรอบประกบด้านหน้าของไม้โทก โม๊ะมีไว้เพื่อรองรับน้ำหนักของเอก โดยผ่านทางไม้ค้ำหัว
3. อุปกรณ์การผลิต
การผลิตเกวียนเป็นงานที่ต้องอาศัยกำลังคนไม่น้อยกว่า 3 คนขึ้นไปร่วมกันทำ แต่ละคนต้องมีความรู้และทักษะดี รู้จักขั้นตอนก่อนหลัง รู้จักใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นและสำคัญในการผลิคคือ
3.1 ไม้ส่วนมากเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้ประดู่ เป็นต้น โดยเฉพาะไม้โทกตินเกวียน และกำเกวียน จะใช้ไม้อย่างอื่นมิได้
3.2 เหล็กเหลี่ยมหรือเหล็กกลึง เป็นอุปกรณ์การกลึงในสมัยโบราณที่มีคุณภาพของงานดียิ่ง ลักษณะเป็นเหล็กซึ่งตีให้แบนใส่ด้ามขนาดพอเหมาะ
3.3 สิ่วเจาะ สำหรับเจาะรู โดยพูดไปแล้วการทำเกวียนจะไม่ใช่เหล็กตะปูเลย แต่จะอาศัยกรรมวิธีอื่นที่ทำให้เกวียนหนาแน่น ซึ่งจะกล่าวได้ต่อไปนี้
3.4 วัสดุอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ หวาย เชือก น้ำมันยาง ฯลฯ
4. ขั้นตอนและวิธีการผลิต
ขั้นตอนในการผลิตแต่ละครั้ง ช่างซึ่งมีความชำนาญไม่เหมือนกันจะผลิตด้วยขั้นตอน ที่แตกต่างกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงขั้นตอนการผลิตของนายมอญ สุขรี อายุ 72 ปี มีประสบการณ์มาประมาณ 50 ปี ซึ่งขั้นตอนในการผลิตตามลำดับก่อนหลังดังนี้
4.1 ไลไม้โทก คือ ขั้นตอนแรกในการเริ่มทำเกวียน การโกโมกหรือไลไม้โทก หมายถึง การตัดรูปทรงของไม้โทกให้ส่วนด้านหน้าประกอบกัน และช่วงจากจุด “ไม้คั่นหน้า” ไปด้านหลังขยายออก กรรมวิธีนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อไม้ที่นำมาทำนั้น ต้องมีเนื้อไม้ที่ดิบอยู่และต้องทำให้การขยายออกหรือแคบเข้าด้วยความใจเย็น จะใจร้อนไม่ได้ เพราะจะทำให้ไม้แตกหรือหักได้
4.2 เสี่ยนดุม คือการกลึงดุมให้มีรูปทรงคล้าย “เต้าแคน” วิธีการเสียนหรือกลึงมีกรรมวิธีคือเจาะรูตรงจุดกึ่งกลางของท่อนไม้ ซึ่งตกแต่งรูปทรงให้มีรูปทรงใกล้เคียงกับดุมที่ต้องการด้วยขวาน การเจาะโดยทั่วไปจะใช้สว่านมือหรือที่ช่างเรียกว่า “สว่าน” (คย) หมู” เจาะจนทะลุได้ถึงกันได้ เมื่อเจาะรูเสร็จแล้วใช้เชือกมัดเกี้ยวท่อนดุม แล้วอีกปลายด้านหนึ่งของเชือกไปมัดเกี้ยวกับไม้ซึ่งตั้งอยู่บนหลัก 2 หลัก (ลักษณะเหมือนรูปตัว H) โดยอุปกรณ์ส่วนนี้เมื่อหมุนแกนไม้ด้านที่อยู่บนหลักแล้วจะทำให้ท่อนดุมที่ต้องการ ใช้วิธีการนี้กับท่อนดุมทั้งซ้ายและขวาเมื่อกลึงเสร็จจะต้องเจาะรู “เข้ากำ” รอบตัวดุม 16 รู โดยใช้สิ่วเจาะรูสำหรับ “เข้ากำ” นี้ต้องให้มีขนาดเดียวกันให้มากที่สุด
4.3 ทำไม้กำเกวียน คือ การทำไม้รูปสี่เหลี่ยมขนาดส่วนที่จะตอกเข้าดุมเท่ากับรูที่จะไว้ส่วนปลายอีกด้านทำให้โตกว่าเล็กน้อย เมื่อนำมาตอกเข้ากับดุมนั้นก่อนตอกเข้าควรใส่ “เข้ากำ” นี้จะต้องให้มีขนาดเดียวกันให้มากที่สุด
4.4 เข้าตีน คือ กรรมวิธีการนำเอาไม้เนื้อแข็งมาทำรูปส่วนโค้งเหมือนฝักมะขาม 4 ท่อน หรือที่ช่างเรียกว่ากีบ มาต่อกันเข้าเป็นรูปวงกลม โดยอาศัยรอยบากตัวผู้และตัวเมีย (ดูรูป) แล้วตกแต่งให้เป็นรูปวงกลม เมื่อได้รูปวงกลมแล้วทำดุมที่เข้ากำไว้แล้วมาวางโดยให้ดุมอยู่จุดศูนย์กลางวงกลมใช้ดินสอขีดตำแหน่งของกำด้านที่จะเข้ากับตีน แล้วถอดคืนแต่ละท่อนออกมาเจาะรูให้มีขนาดเท่ากับขนาดกำในแต่ละจุดทั้ง 16 กำ เมื่อเจาะเสร็จแล้วก็นำแต่ละท่อนมาประกอบเข้าตามตำแหน่งเดิมทาน้ำยางตรงรอยต่อจะจุด “เจ้ากำ” จะทำให้มีความหนาแน่นมากขึ้น จะได้ตีนเกวียนหรือลังเกวียนตามต้องการ (ทำด้านที่เหลืออีกด้านหนึ่งด้วยกรรมวิธีเดียวกัน)
4.5 นำไม้โทกที่ “ไลโทก” ได้ที่แล้วมารเจาะด้านข้าง (ใน) ตรงจุดกึ่งกลาง 1 ที่ด้านที่อยู่ตรงห่างจากปลายด้านหลัง 10 เซนติเมตร 1 จุด และจุดกึงกลางระหว่างจุดที่อยู่หน้ากับจุดอีก 1 ชุด โดยเจาะด้านตรงข้ามที่เหลืออีกตามจุดและระยะเดียวกัน เพื่อใส่ไม้คั่นหน้า กลาง หลัง ตามลำดับ
4.6 นำไม้มาทำเป็นสี่เหลี่ยม ขนาดเท่ากับรูที่เจาะตามข้อ 4.5 ความยาวเท่ากับระยะห่างระหว่างไม้โทกทั้งซ้าย - ขวาเล็กน้อย เมื่อประกอบกันเข้าจะมีลักษณะคล้ายบันได
4.7 นำไม้ที่เตรียมไว้มาขวางทาง โดยมีขนาดใกล้เคียงกับไม้โทก ปลายทั้งสองข้างเล็กกว่าส่วนกลางเล็กน้อย ความยาวเท่ากับระยะห่างของไม้โทกรวมกันความยาวของระยะระหว่างไม้โทกกับไม้แพดทั้งสองข้างรวมกัน ปลายทั้งสองข้างกลึงหรือทำให้เป็นวงกลมขนาด 1 นิ้ว ตรงจุดที่ตรงกับระยะห่างของไม้โทกเจาะรูเป็นสี่เหลี่ยม (ทะลุถึงไม้โทกด้วย) ไว้สำหรับตอกลิ่มบังคับ
4.8 นำไม้ที่เตรียมไว้ มาทำไม้แพด ลักษณะตรงปลายทั้งสองข้างเล็กและเรียกว่าส่วนกลางตรงจุดกึ่งกลางเจาะรู 1-1” ไว้สำหรับใส่ไลเกวียนหรือเพลาเกวียน ที่ระยะห่างจากปลายทั้งสองข้างเข้าด้านใน 5 ซ.ม. เจาะรู เท่ากับขนาดของส่วนปลายไม้ขวางทาง (ส่วนด้านที่เหลือก็มีวิธีการผลิตเช่นเดียวกัน)
4.9 นำไม้ที่มีขนาดโตเท่ากับไม้ที่ทำดุม ขนาดความยาวเท่ากับระยะห่างของไม้โทก (ด้านนอก) มาทำให้เป็นรูปวงรี เจาะรูขนาด 1” ไว้สำหรับใส่เกวียนหรือเพลาเกวียน ที่ระยะห่างจากปลายทั้งสองข้างเข้าด้านใน 5 ซม. เจาะรู เท่ากับขนาดของส่วนปลายไม้ขวางทาง (ส่วนด้านที่เหลือก็มีวิธีการผลิตเช่นเดียวกัน)
4.10 นำชานเกวียน โดยใช้สิ่งเจาะเป็นรูป ด้านข้าง (ใน) โม้โทกตรงจุดที่ติดกับไม้คั่นหน้าของอีกสองจุด ตรงระยะห่างจากจุดแรกในด้านหน้า (ส่วนแหลม) ประมาณ 40-50 ซม. 80-100 ซม.
4.11 ทำแอก โดยใช้ไม้ขนาดโตกว่า ไม้โทก แต่เล็กกว่าไม้ทำดุม มาทำให้ตรงจุดกึ่งกลางด้านบนเหมือนหนอกวัวตัวผู้ ส่วนที่เหลือทำเป็นวงกลม ขนาดส่วนปลายเล็กและเรียกว่า ส่วนกลาง ตรงจุดกึ่งกลางด้านล่างเจาะรู 1-1” ลึกประมาณ 5 ซม. ไว้สำหรับไส่ไม้โม้ะ ตรงระยะห่างจากปลายทั้งสองข้างเข้าในประมาณ 15-20 ซม. เจาะรูสี่เหลี่ยมไว้สำหรับใส่ไลความยาวของเอกเท่ากับความยาวของไม้ขวางทาง
4.12 ทำไม้โม้ะ ทำจากไม้กระดานที่มีขนาดหนาหน่อย ความยาว 20-30 ซม. ลักษณะเหมือนหลังเต่า ความกว้างเท่ากับระยะห่างของไม้โทกซึ่งประกอบกันเข้าเป็นปลายแหลม ตรงกลางทำร่องขนาดเท่ากับไม้ค้ำหัว เพื่อจะคาบได้แน่นไม่หลุดง่าย
4.13 ทำไลหรือเพลา ทำด้วยไม้เนื้อแข็งกลึงให้มีขนาดเล็กกว่ารูดุมเล็กน้อย ความยาวมากกว่าความยาวของดุม ประมาณ 5-10 ซม. (ในปัจจุบันนิยมใช้เหล็กมากกว่า เพราะใช้งานได้ดีกว่าไม่หัก)
เมื่อเตรียมชิ้นาส่วนต่าง ๆ พร้อมแล้วขั้นตอนต่อไปคือการประกอบรูปร่างของเกวียนโดยเริ่มตามลำดับขั้นตอนคือ
1. วางไว้โทก ให้ระยะห่างด้านหลักพอดี ทำน้ำมันยางตรงรอยเจาะแล้วใส่ไม้คั่นหน้ากลางและหลัง
2. นำทอระนีมามัดเข้ากับส่วนล่างของไม้คั่นกลาง ด้วยหวาย ให้แน่นที่สุด หาหวายด้วยน้ำมันยาง (ปัจจุบันใช้ลวดหรือเชือกมัดแทน)
3. นำไม้ขวางทางด้านหน้าและด้านหลังมาวางบนไม้คั่นหน้าทัดด้วยหวายตรงกลางตอกด้วยลิ่มให้มั่นคง
4. หาไม้คำขนาดประมาณ 1 เมตรมาค้ำผกให้โครงร่างของเกวียนสูงขึ้น แล้วนำล้อเกวียนซึ่งประกอบไว้เรียบร้อยแล้วยกขึ้นใส่ไลหรือเพลาก่อนแล้วจึงนำมาต่อกับทอระนี นำไม้แพดมาโดยใส่ไลเข้าในรูที่เจาะไว้ก่อนแล้วจึงนำส่วนปลายที่เจาะรูไว้ทั้งสองด้าน ไปเสียบปลายไม้ขวางทางทั้งหน้าและหลัง มัดไม้ขวางทางกับไม้แพดด้วยหวาย
5. ทำวิธีการเดียวกับข้อ 4 ในด้านตรงข้าม
6. นำไม้ขนาดเท่ากับรูที่เจาะสำหรับนำชานเกวียนมาประกอบเข้าทั้ง 3 จุด แล้วมัดส่วนปลายของแหลมเกวียน เจาะรูด้านข้างให้ทะลุถึงกันใส่ลิ่มให้แน่น
7. นำไม้ค้ำที่เตรียมไว้มาเลียบเข้ากับเอวแล้วนำส่วนที่เป็นง่ามมาประกบตรงรอยที่นำร่องไว้มัดด้วยหวายหรือเชือกหรือหนัง โดยวิธีมัดกลับไปกลับมาแล้วมัดรวบตรงกลางของไม้ค้ำหัว
8. นำไม้ที่นำมาค้ำโรงร่างก่อนใส่ล้อออก แล้วนำไม้หัวเต่ามาวางบนไม้ขวางทางทั้งสองลแล้วใช้หวายมัดให้หัวเต่ากับตรงรอยต่อจุดที่กลังเป็นรูปดอกบัวกับไม้ขวางทางให้แน่นที่สุด
9. หาไม้กระดานความยาวเท่ากับความยาวของชานผาดี เพื่อทำชานเกวียนเพื่อใช้สำหรับให้คนขับนั่ง และบริเวณพื้นที่เรียกว่า เรือนเกวียน คือพื้นที่จากไม้ขวางทางด้านหน้าถึงด้านหลังและพื้นที่ด้านในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เหลือจากส่วนที่ใช้เป็นที่สำหรับใส่ดุมเกวียนแล้ว
10. เจาะรูที่ไม้หัวเต่าตรงจุดใกล้กับรอยต่อหัวกลึงทั้งสองข้างทุกตัวเพื่อใส่ไม้สำหรับ ทำข้างเมื่อต้องการ
หมายเหตุ
1. ในการมัด ให้ทอระนีซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางด้านล่างกับไม้คั่นกลางซึ่งเป็นส่วนบน บางช่วงจะเจาะรูที่ไม้โทกตรงจุดที่ห่างจากไม้คั่นกลางออกทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ประมาณข้างละ 20 ซม. เพื่อใส่ไม้ลักษณะคล้ายไม้คั่นกลางออกทั้งข้างซ้ายและขวา ประมาณข้างละ 20 ซม. เพื่อใส่ไม้ลักษณะคล้ายไม้คั่นแต่เล็กกว่า ไม้นี้มีไว้สำหรับผูกทอระนีโยงจากจุดที่ทำเหมือนหูหิ้วถุงกระดาษมายังไม้ดังกล่าวทั้งสองข้างสลับกันไปมายิ่งจะทำให้มีความแน่นหนา และมั่นใจยิ่งขึ้น
2. โรงเรือนของเกวียนทำขึ้นภายหลัง โดยนำไม้ความยาวตามขนาดที่ต้องการเสียบต่อกับจุดที่เจาะไว้ตรงไม้หัวเต่า แล้วใช้ไม้กระดานตีเป็นด้านหน้า
3. โรงเรือนที่ใช้สำหรับขนสิ่งของที่มีจำนวนมากและมีขนาดเล็ก เรียกว่า “กะโสบ” เป็นรูปทรงปริมาตร ความกว้างเท่ากับไม้คั่น ความสูงตามที่ต้องการีแต่โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ระหว่าง 80-100 ซม. และความยาวเท่ากับช่วงระหว่างไม้ขวางทางด้านหน้าถึงด้านหลัง สานโดยไม้ไผ่ ทำตอกสานให้แบบขนาดกว้าง 1.5 – 2 ซม. นิยมสานด้วย “ลายสอง” หรือลายสองขัดปีด้านหลังเปิดสำหรับใส่สิ่งของบรรทุก หรือให้คนขึ้นนั่งได้
4. ตรงรอยต่อที่เจาะรูและเปิดให้แน่นด้วยหวายนั้นจะเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อทำกำไลคือไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็งที่ตอกให้โปล่ไว้ สำหรับมัดเกาะหวายหรือเหล็กไว้
สวัสดีครับคุณshin uen yoo ผมขออนุญาตินำรูปประวัติเกวียนไทยที่เป็นรูปโค
ตอบลบไปเป็นรูปไอคอนเว็บไซด์นะครับ ถ้าไม่อนุญาติอย่างไร ขอความกรุณาคุณshin uen yoo ชี้แจงให้ทราบในกระทู้นี้ได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ